วันเสาร์, 25 มกราคม 2568

เหตุการณ์ลอบวางระเบิดทหารพรานที่นราธิวาส สะเทือนใจสังคมและกระทบความสามัคคีในพื้นที่ มุ่งหวังทำลายสังคมที่มีความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม

จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ศาลาปฏิบัติธรรม บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 5 หมู่ที่ 9 ตำบลบองอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เมื่อช่วงเช้าวันที่ 23 มกราคม 2568 โดยคนร้ายไม่ทราบจำนวนได้ลอบวางระเบิดแสวงเครื่องใส่เจ้าหน้าที่ทหารพรานกองร้อยทหารพรานที่ 4511 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 45 ขณะปฏิบัติภารกิจรักษาความปลอดภัยเส้นทางในพื้นที่ดังกล่าว ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 7 คน ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความสะเทือนใจให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ยังสร้างความหวาดหวั่นไปทั่วทั้งพื้นที่ และผู้ที่ได้รับทราบข่าวต่างก็รู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่ง

ศาลาปฏิบัติธรรมบ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 5 ที่ถูกใช้เป็นที่ก่อเหตุการณ์ความรุนแรงนั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่ทางศาสนา แต่ยังเป็นศูนย์กลางที่ทุกคนในชุมชน ทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมใช้ร่วมกันในการทำกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมสาธารณะต่าง ๆ เหตุการณ์ในครั้งนี้จึงไม่ได้แค่ทำให้เกิดความสูญเสียในแง่ร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นการเข้ามาทำลาย “สังคมที่มีความหลากหลาย” ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ซึ่งความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันของคนหลากหลายเชื้อชาติและศาสนาได้สร้างความสงบสุขมาอย่างยาวนาน

สิ่งที่น่าสลดใจที่สุดคือ กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเหล่านี้ ไม่เพียงแค่ต้องการทำลายชีวิตผู้คน แต่พวกเขายังมุ่งหวังทำลายความร่วมมือและความเข้าใจระหว่างกลุ่มศาสนาและกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในพื้นที่ โดยการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมุ่งหวังให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นสังคมเชิงเดี่ยวที่ไม่มีที่ว่างสำหรับผู้ที่มีความเห็นต่าง ทั้งในด้านศาสนาและความเชื่อ โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชีวิตและจิตใจของประชาชนทุกคน

การก่อเหตุรุนแรงในลักษณะนี้ไม่ได้เพียงแค่บ่งบอกถึงความโหดร้ายของผู้ก่อเหตุ แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความพยายามของกลุ่มผู้ก่อเหตุในการทำลายสังคมที่มีความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม มุ่งหวังให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดความแตกแยก และขัดแย้งกันเอง ทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความหวาดละเวงซึ่งการและกัน

ทั้งนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่มีความรัก ความสามัคคี หันหน้ามาหากัน ร่วมมือกันสร้างความปลอดภัยในชุมชน และช่วยกันเป็นหูเป็นตาสอดส่อง เพื่อไม่ให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีเข้ามาก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่อีกต่อไป โดยการเสริมสร้างความเข้มแข็งในความสามัคคีและความเข้าใจระหว่างกลุ่มต่างๆ จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างสังคมที่สงบสุขและยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้