จากกรณีที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้แต่งตั้งผู้แทนเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรสายบุรี จังหวัดปัตตานี เพื่อดำเนินคดีต่อคณะแกนนำในการจัดงานและร่วมทำกิจกรรมที่มีเนื้อหา รูปแบบในลักษณะของการยุยงปลุกปั่นให้เยาวชนร่วมกันปฏิวัติกอบกู้เอกราชรัฐปาตานี ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2565 โดยสมัชชาประชาสังคมเพื่อสันติภาพ (CAP) ณ หาดวาสุกรี ตำบลตะลุบัน อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี
จากการตรวจสอบด้วยการสังเกตการณ์และตามที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์พบว่า รูปแบบการดำเนินกิจกรรมและเนื้อหาการแสดงออกที่อยู่ในความควบคุมของคณะแกนนำผู้จัดนั้น มีเนื้อหาที่มีลักษณะเป็นการยุยงปลุกปั่น มีการแสดงธงของกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนกลุ่ม BRN รวมทั้งมีการกล่าวถ้อยคำบนเวทีอันมีลักษณะว่า “มีศัตรูมาทำลายชาติมลายูปาตานีทำให้เสียเอกราช เยาวชนต้องรวมตัวกันทำให้หมดไปซึ่งการถูกกดขี่ข่มเหง” การกล่าวถ้อยคำว่า “วันรายอที่ 3 เป็นวันเยาวชนแห่งชาติปาตานี” รวมทั้งกิจกรรมร้องเพลงปลุกใจ มีเนื้อหาทำนองให้เยาวชนร่วมกันปฏิวัติกอบกู้เอกราชรัฐปาตานีคืนมา ซึ่งพฤติการณ์และการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดอาญา
ดังนั้น คณะพนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและมีความเห็นควรส่งฟ้อง นายมูฮำหมัดอาลาดี เด็งนิ กับพวกรวม 9 คน ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ร่วมกันทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาหนังสือหรือด้วยวิธีอื่นใดอันมิใช่กระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญหรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือติชมโดยสุจริต (2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร (3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมายแผ่นดินมาตรา 209 ความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ มาตรา 210 ความผิดฐานร่วมกันเป็นซ่องโจร
และดำเนินคดีตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน กรณีการชุมนุมฝ่าฝืนมาตรการการป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งต่อมาพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องตามพนักงานสอบสวน และวันที่ 23 มกราคม 2568 ที่จะถึงนี้จะเป็นวันครบรอบที่อัยการจังหวัดปัตตานี เลื่อนนัดเพื่อยื่นฟ้อง คดีกับนักกิจกรรมทั้ง 9 ราย
ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ผู้ต้องหาคดีดังกล่าวพยายามยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและอัยการสูงสุด เพื่อขอให้ทบทวนคำสั่งของอัยการ คดีอาญา 4 ภาค 9 ที่มีความเห็นควรสั่งฟ้อง นายมูฮำหมัดอาลาดี เด็งนิ กับพวก เช่นเดียวกับความเห็นของพนักงานสอบสวนคดีความมั่นคง
อย่างไรก็ตาม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอเรียนให้ทราบว่า ตามที่มีแนวร่วมกลุ่มแกนนำของผู้จัดกิจกรรมพยายามชี้นำบิดเบือนว่า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ดำเนินการฟ้องแกนนำทั้ง 9 ราย ในข้อหา จัดกิจกรรมสวมชุดมลายู รวมถึงการแสดงออกผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่สาธารณะของประชาชนในพื้นที่นั้น ข้อความดังกล่าวไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้าม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้พยายามส่งเสริมอัตลักษณ์ การแต่งกาย ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม ของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ดังจะเห็นได้จากการกำหนดงานการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง ซึ่งเป็นหนึ่งในงานนโยบายสำคัญของผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน อันจะทำให้การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเข้าใจ จะทำให้สันติสุขกลับคืนมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแน่นอน
สำหรับในคดีดังกล่าว ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 สำนักอัยการสูงสุดได้สั่งยุติคำร้องขอความเป็นธรรมของนักกิจกรรม 9 คนในคดี “ยุยงปลุกปั่น” ซึ่งได้ยื่นต่อสำนักงานอัยการสูงสุดไว้เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2567 และพิจารณาว่าพยานที่นักกิจกรรมทั้ง 9 คน ได้เสนอเพิ่มเติมไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรง และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงในคดียุยงปลุกปั่นได้ ทั้งนี้กลุ่มนักกิจกรรมยังเคยพยายามเรียกร้องความเป็นธรรมผ่านการพบปะกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและนอกประเทศ แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนแต่อย่างใด
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า จึงขอสร้างความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนอีกครั้งว่าคดีดังกล่าวเป็น “คดียุยงปลุกปั่น” ที่มีรายละเอียดการปฏิบัติในกิจกรรมอาจผิดต่อกฎหมาย ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามที่สื่อสังคมออนไลน์บางสื่อบิดเบือนให้เป็นคดีในลักษณะอื่น ขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณเปรียบเทียบข้อมูลข่าวสารก่อนตัดสินใจเชื่อในข้อมูลข่าวสาร