วันนี้ (6 ธ.ค. 67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงพื้นที่ตรวจราชการในพื้นที่อุทกภัยภาคใต้ ณ จังหวัดยะลา พร้อมด้วย นางสาวธีรรัตน์ สําเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) นายอำพล พงศ์สุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา พลตรี กรกฎ ภู่โชติ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัย และแผนการแก้ไขปัญหา พร้อมกล่าวมอบนโยบาย ณ ห้องประชุมปัญจเพชร ชั้น 3 อาคารศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ อำเภอเมืองยะลา ก่อนเดินทางต่อไปยังอาคารศรีนิบง ศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา อำเภอเมืองยะลา เพื่อพบปะประชาชน และมอบถุงยังชีพให้ผู้แทนประชาชนที่ได้รับผลกระทบ จากนั้นลงพื้นที่ หมู่ 2 บ้านยือโม๊ะ ตำบลปะกาฮะรัง อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี เพื่อพบปะเยี่ยมเยียนประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ จึงมอบหมายให้รองนายกฯและคณะ ลงพื้นที่ดูแลประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน พร้อมติดตามสถานการณ์น้ำในทั้ง 5 จชต. ทั้งนี้ ขอเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการดำเนินการ ตามภารกิจของหน่วยงาน โดยขอให้ ศอ.บต. สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย พร้อมจัดหาเครื่องจักร เครื่องมือ ให้พร้อมต่อสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ขอมอบให้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ชลประทาน จังหวัด ปภ. เร่งระบายน้ำในพื้นที่ให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว อีกทั้ง ขอให้ประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดตามมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2567 และป้องกันสถานการณ์ล่วงหน้า โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนบางลาง และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือนภัยประชาชนล่วงหน้า เพื่อลดผลกระทบที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทั้งนี้ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลให้ความสำคัญต่อสถานการณ์น้ำ ทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้ง และการบริการจัดการน้ำในทุกมิติเพื่อให้ประชาชนผ่านพ้นสถานการณ์อุทกภัยในครั้งนี้ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
อย่างไรก็ตามสำหรับการเยียวยาประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา เห็นชอบอนุมัติการจ่ายเงิน 5,000 ล้านบาท ช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยกรณีที่มีถิ่นที่อยู่อาศัยประจำพื้นที่น้ำท่วมไม่เกิน 7 วัน และมีทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหายเกินกว่า 7 วัน ให้มีการช่วยเหลืออัตราเดียวทุกครัวเรือนๆละ 9,000 บาท นอกจากนี้ยังมีสิทธิประโยชน์อื่นๆ ในมาตรการช่วยเหลือจากธนาคารเฉพาะกิจของรัฐและธนาคารพาณิชย์ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในพื้นที่ด้วย
นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำกับ สทนช. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) กรมประชาสัมพันธ์ และจังหวัด ประชาสัมพันธ์สถานการณ์อุทกภัยและแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ พร้อมมอบหมายศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคใต้ ประสานและบูรณาการการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลให้ความสำคัญต่อสถานการณ์น้ำ ทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้ง ที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก และจะดูแลให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังเพื่อให้ทุกครัวเรือนผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้โดยเร็ว
ด้านเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) รายงานว่าปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ รวม 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช 7 อำเภอ จังหวัดพัทลุง 5 อำเภอ จังหวัดสงขลา 4 อำเภอ จังหวัดปัตตานี 4 อำเภอ จังหวัดนราธิวาส 3 อำเภอ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งระบายน้ำท่วมขังในพื้นที่เพื่อบรรเทาผลกระทบให้ประชาชน โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ปริมาณฝนจะลดลง รวมทั้งได้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ในช่วงหลังจากนี้ตามที่รองนายกรัฐมนตรีมอบหมาย เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ สสน. คาดการณ์ว่าจะกลับมามีฝนตกหนักถึงหนักมากอีกครั้งในช่วงวันที่ 13 – 16 ธ.ค. 67 บริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส จากนั้นแนวโน้มฝนจะลดลงตามลำดับ สำหรับเขื่อนบางลางจะยังคงอัตราการระบายน้ำที่ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) ต่อวัน ซึ่งจะต้องมีการติดตามประเมินสภาพอากาศอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับแผนการระบายให้เหมาะสม โดยจะต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับระดับน้ำทะเลด้วย
ซึ่งขณะนี้การระบายน้ำของเขื่อนบางลางยังไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำบริเวณหน้าเขื่อนปัตตานี โดยเขื่อนปัตตานีได้มีการหน่วงน้ำไว้ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. 67 ส่งผลให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนลดลงตามลำดับ โดยเฉพะเขตตัวเมืองปัตตานี จ.ปัตตานี ระดับน้ำลดลงต่ำกว่าตลิ่งแล้ว และในการบริหารจัดการน้ำ ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลความมั่นคงแข็งแรงและปลอดภัยของเขื่อนทุกแห่ง ทั้งนี้ ศูนย์ฯ ส่วนหน้าจะบูรณาการความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประเมินวิเคราะห์สถานการณ์ประกอบการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่และระดมสรรพกำลังเพื่อเร่งคลี่คลายสถานการณ์อุทกภัย รวมทั้งฟื้นฟูเยียวยาความเสียหายให้ประชาชนสามารถกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติได้โดยเร็วที่สุด