วันอังคาร, 19 พฤศจิกายน 2567

ผู้ต้องสงสัยจากเหตุลอบวางระเบิดรถยนต์เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา แสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย

จากกรณีเหตุการณ์ คนร้ายลอบวางระเบิดรถยนต์เจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรปะแต บนถนนทางหลวงหมายเลข 4065 (สายยะหา-บ้านเนียง) พื้นที่ หมู่ที่ 3 บ้านบาโจ ตำบลลิดล อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา ขณะนำตัวผู้ต้องหาส่งศาลจังหวัดยะลา เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย และผู้ต้องหาได้รับบาดเจ็บ 1 ราย เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2555 ที่ผ่านมา ภายหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ พบวัตถุพยานหลายรายการ และได้นำส่งตรวจสอบหาความเชื่อมโยงของคนร้ายต่อมาเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรกาบัง เข้าตรวจสอบผู้ต้องสงสัยในพื้นที่รับผิดชอบ จากผลการตรวจพบว่า นายอิบรอฮิม สาแมปูโจะ อายุ 40 ปี ที่อยู่ 25/1 หมู่ที่ 1 ตำบลบาโร๊ะ อำเภอยะหา จังหวัดยะลา มีสารพันธุกรรม ตรงกับวัตถุพยาน (ก้นกรองบุหรี่) ที่ตรวจยึดในที่เกิดเหตุดังกล่าว

ล่าสุดวันนี้ (3 กันยายน 2567) เวลา 09.00 น. หน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วมประจำจังหวัดยะลาได้รับการประสานจากภาคประชาชน นำตัว นายอิบรอฮิม สาแมปูโจะ บุคคลต้องสงสัย เข้ามาแสดงตัวเพื่อให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ ณ กองบังคับการหน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วมประจำจังหวัดยะลา สำหรับขั้นตอนการปฏิบัติ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่พูดคุยและสร้างความเข้าใจแก่ครอบครัวและญาติของผู้สงสัยให้ทราบถึงขั้นตอนการทำงานของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งให้ปฏิบัติด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนให้มากที่สุด ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ได้เชิญตัว นายอิบรอฮิมฯ ไปยังศูนย์ซักถาม หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 เพื่อดำเนินกรรมวิธีซักถามและขยายผลต่อไป

ทั้งนี้ ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน หากพบบุคคลต้องสงสัยเข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่ สามารถแจ้งได้ที่หมายเลขโทรศัพท์สายตรง แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 โทร 061-1732999 หรือเบอร์สายด่วน กอ.รมน.ภาค 4 สน. 1341 และหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งขอเรียนให้ทราบว่าผู้ให้การสนับสนุนผู้กระทำผิดด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การนำพาซ่อนเร้น การให้การสนับสนุนที่พักพิง หรือการสนับสนุนเสบียงอาหาร จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ