วันศุกร์, 22 พฤศจิกายน 2567

คืบหน้า เข้าสู่วันที่ 3 ของการบังคับใช้กฎหมาย เจ้าหน้าที่ยังคงปิดกั้นและกระชับวงล้อมพื้นที่ เน้นเจรจาให้ ผกร. มอบตัว

 วันนี้ (29 กรกฎาคม 2567) เวลา 15.00 น. พันเอก เอกวริทธิ์ ชอบชูผล โฆษก กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า จากกรณี เจ้าหน้าที่สนธิกำลัง 3 ฝ่าย เข้าบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่บ้านคลองช้าง ตำบลนาเกตุ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี เป็นเหตุให้ เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 นาย และได้รับบาดเจ็บ 2 นาย เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 27 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา

ล่าสุดวันนี้ เข้าสู่วันที่ 3 ของการบังคับใช้กฎหมาย เจ้าหน้าที่ยังคงปิดกั้นและตรวจสอบพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการ กระชับวงล้อมไปยัง พื้นที่ที่คาดว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงจะใช้ในการหลบซ่อนตัวอยู่ และในระหว่างนั้นกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้เปิดฉากยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่ จึงเกิดการยิงตอบโต้กันขึ้นเป็นระยะ และในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวพบรองเท้า และกระเป๋าเป้ จำนวน 3 ใบ จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าเป็นของใช้ส่วนตัวของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง เจ้าหน้ายังคงเร่งดำเนินการติดตามอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถควบคุมตัวได้ เนื่องจากกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมีความชำนาญพื้นที่ เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวัง แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ทุกนายยังคงมีขวัญกำลังใจดีเยี่ยม และยังคงให้ผู้นำท้องที่ และผู้นำทางศาสนา มาช่วยในการเจรจา เพื่อให้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงยอมออกมามอบตัวเพื่อต่อสู้ตามกระบวนการของกฎหมาย ตามนโยบายของแม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 สำหรับความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป

ทั้งนี้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ หากผู้ใดพบเบาะแส หรือพบวัตถุต้องสงสัย รวมถึงบุคคลต้องสงสัยเข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่ สามารถแจ้งได้ที่หมายเลขโทรศัพท์สายตรงแม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 โทร 061-1732999 หรือเบอร์สายด่วน กอ.รมน.ภาค 4 สน. 1341 และหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งขอเรียนให้ทราบว่าผู้ให้การสนับสนุนผู้กระทำผิดด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การนำพาซ่อนเร้น การให้การสนับสนุนที่พักพิง หรือการสนับสนุนเสบียงอาหาร จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ